ประเทศอังกฤษ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่หลายคนนั้นใฝ่ฝันที่จะได้ไปท่องเที่ยว หรือศึกษาต่อ แต่ทราบกันหรือไม่ว่า การก่อตั้งประเทศอังกฤษในอดีตนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกัน วันนี้นักเขียนจะมาสรุปเรื่องราว ประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศอังกฤษให้ผู้อ่านได้ทราบกัน
ในสมัยก่อนนั้น ประเทศอังกฤษ มีชื่อว่า ราชอาณาจักรอังกฤษ หรือ Kingdom of England
ซึ่งในสมัยนั้นได้มีการก่อตัวขึ้นเป็นรัฐแยกกันกับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ ในพุทธศตวรรษที่ 15 นั้นเอง โดยแต่ละรัฐนั้นจะมีราชวงศ์และมีระบอบการปกครองในรูปแบบของตัวเอง ส่วน ราชรัฐเวลส์ได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรอังกฤษในปี พ.ศ.1827 และได้มีการเข้าร่วมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษในปี พ.ศ.2078
จากพระราชบัญญัติสหภาพในปี พ.ศ. 2550 นั้น (Acts of Union 1707)
ประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์ได้มีการรวมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก จากการที่พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์นั้นได้มีการปกครองราชอาณาจักรอังกฤษ เนื่องจากเหตุที่พระนางอลิซาเบธที่หนึ่งนั้นนั้นทรงไม่มีรัชทายาท ทำให้ทั้งสองประเทศในตอนนั้นจึงได้อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียวกัน แต่ในตอนนั้นทั้งสองประเทศต่างฝ่ายต่างก็ยังคงมีรัฐบาลอิสระเป็นของตนเอง ต่อมาในภายหลัง ประเทศอังกฤษและประเทศสกอตแลนด์ ก็ได้รวมตัวกันเป็นสหภาพทางการเมืองในชื่อ ราชอาณาจักรบริเทนใหญ่ (Kingdom of Great Britain)
พระราชบัญญัติสหภาพ ในปี พ.ศ.2343 ( Acts of Union 1800 )
ได้มีการรวมราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เข้ากับ ราชอาณาจักรไอร์แลนด์ ซึ่งในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นั้น ค่อยๆมีการเข้าควบคุมของอังกฤษมาอย่างเรื่อยๆจนเป็นที่สำเร็จในที่สุด และพอได้ตกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของราชอาณาจักรอังกฤษอย่างเต็มตัว จึงได้กลายเป็น สหราชอาณาจักรแห่งเกาะบริเทนใหญ่และไอร์แลนด์ ( United Kingdom of Great Britain and Ireland)
จนต่อมาในปี พ.ศ. 2465 เกิดเหตุการณ์ 26 แคว้น จากทั้งหมด 32 แคว้น
บนเกาะไอร์แลนด์นั้นได้ตัดสินใจที่จะเป็นอิสระ และได้ทำการตัดสินใจที่จะไม่ทำการขึ้นตรงกับสหราชอาณาจักรอังกฤษแล้ว และได้ทำการตั้งต้นเองขึ้นเป็นประเทศใหม่ กลายเป็น สาธารณรัฐไอร์แลนด์ หลังจากนั้นในอีก 7 ปีถัดมาราวๆในปี พ.ศ. 2472 อีก 6 แคว้นที่เหลือ ได้ตัดสินใจทำการเข้าร่วมกับ สหราชอาณาจักรอังกฤษดังเดิม และตั้งชื่อของตนเองใน 6 แคว้น ว่าเป็น ไอร์แลนด์เหนือ
ในพุทธศตวรรษที่ 24
สหราชอาณาจักรแห่งเกาะบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์นั้น ได้กลายเป็นประเทศซึ่งเป็นผู้นำของโลกในหลายๆด้าน เช่น ในด้านของการพัฒนาระบอบทุนนิยม และ รูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยระบบรัฐสภา รวมถึงในการวางแผนงาน ศิลปะ และวรรณกรรมต่างๆ ความเจริญก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุด จักรวรรดิบริเทนนั้นยังสามารถที่จะครอบครองดินแดนมากถึง 1 ใน 4 ของโลก และ 1 ใน 3 ของประชากรจากทั่วโลก ทำให้กลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการครอบครองดินแดน หรือในด้านของจำนวนประชากร เรียกได้ว่า ในยุคนั้นสหราชอาณาจักรอังกฤษได้กลายเป็นประเทศผู้นำของโลกโดยแท้จริง
แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นั้นกลับพลิกผัน เมื่อสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น ได้เริ่มเกิดการสูญเสียความเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์ และ ทางด้านอุตสาหกรรมไป ในพุทธศตวรรษที่ 25 ให้กับ สหรัฐอเมริกาและ จักรวรรดิเยอรมัน หลังจากที่เหตุการณ์สงครามโลกในครั้งที่ 1 นั้นได้มีการยุติลง อำนาจของสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น ในวงการเมืองของโลกเริ่มที่จะมีการลดลง และเริ่มที่จะมีการปลดปล่อยอาณานิคมในดินแดนตามโพ้นทะเลต่างๆ ให้ได้เป็นอิสระ ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น สหราชอาณาจักรอังกฤษได้มีการสู้รบกับฝ่ายทหารนาซีของเยอรมัน และได้รับชัยชนะกลับมาในช่วงปี พ.ศ.2488 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ทำให้สหราชอาณาจักรอังกฤษได้เป็นสมาชิกถาวร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ